รายการตรวจสอบการคัดเลือกหุ้นของ A. Stotz
ผลลัพธ์ในฝันของหุ้นไทยที่ไม่มีบทวิเคราะห์คือการค้นพบอัญมณีที่ซ่อนอยู่
Click here to read this article in English.
ผลลัพธ์ในฝันของหุ้นไทยที่ไม่มีบทวิเคราะห์คือการค้นพบอัญมณีที่ซ่อนอยู่ ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าได้หลายเท่า เมื่อหลายปีก่อน เราได้อ่านหนังสือเรื่อง หุ้นร้อยเด้ง วิธีหาหุ้นที่ทำผลตอบแทนได้เป็นร้อยเท่าโดย คริสโตเฟอร์ เมเยอร์ ซึ่งเขาเคยเป็นแขกรับเชิญในพอดคาสต์ของ ดร. แอนดรูว์ สตอทซ์ ด้วย
โดยแรงบันดาลใจจากหนังสือและการสนทนานั้น เราได้ใช้กรอบการทำงาน FVMR ของเราเพื่อทดสอบว่าปัจจัยใดบ้าง ที่หุ้นซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นหลายเท่ามีร่วมกัน แม้ว่าการค้นหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนร้อยเท่าอาจเป็นเรื่องที่เกินจริงไปบ้าง แต่การค้นหาหุ้นที่ให้ผลตอบแทนสามถึงสิบเท่าน่าจะเป็นไปได้
ลักษณะ 8 ประการของหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า
จากการวิจัยของเรา เราได้ระบุลักษณะ 8 ประการของหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า จากนั้นเราจึงสร้างรายการตรวจสอบการคัดเลือกหุ้นของ A. Stotz ขึ้นมา
การเติบโต – ผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมสามารถรองรับการเติบโตรายปีที่ 10% ขึ้นไปได้ต่อเนื่องเป็นทศวรรษ
ความยั่งยืน – กลยุทธ์การแข่งขันสร้างอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงได้อย่างยั่งยืน
คุณภาพ – คุณภาพของกำไรดี รายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักมีขนาดเล็กหรือไม่มีเลย
ประสิทธิภาพ – ในระยะยาวยอดขายเติบโตเร็วกว่าสินทรัพย์
วงจรเงินสด – วงจรเงินสดหมุนเวียนค่อนข้างต่ำ โดยค่าติดลบถือว่าดีที่สุด
กระแสเงินสด – กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ
ศักยภาพทางเงินทุน – บริษัทมีช่องทางในการเข้าถึงเงินทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโต
ราคาไม่แพง – มูลค่าเหมาะสม หลีกเลี่ยงหุ้นที่มีราคาแพงมากเกินไป
เรามาดูรายละเอียดทั้งแปดรายการทีละข้อกัน
1. การเติบโต – ผลิตภัณฑ์และอุตสาหกรรมสามารถรองรับการเติบโตรายปีที่ 10% ขึ้นไปได้ต่อเนื่องเป็นทศวรรษ
ทุกธุรกิจเริ่มต้นด้วยยอดขาย หากปราศจากยอดขาย บริษัทก็จะค่อย ๆ ตายไป ในการที่มูลค่าของธุรกิจจะเติบโตได้ ยอดขายก็ต้องเติบโตด้วย หากไม่มีการเติบโตของยอดขาย ก็อย่าคาดหวังว่าราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว
ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา การเติบโตของรายได้ต่อปีของบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มการเงินทั่วโลกอยู่ที่ 5.8% ดังนั้น เพื่อให้ทำผลงานได้ดีกว่าตลาด บริษัทจึงจำเป็นต้องเติบโตที่ 10% หรือมากกว่าต่อปี การที่จะรักษายอดขายให้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักในทุก ๆ ปีได้เป็นเวลาหนึ่งทศวรรษ โดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจนั้นจำเป็นต้องอยู่ในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เนื่องจากเราแทบจะไม่พบเห็นการเติบโตในระดับดังกล่าวอย่างยั่งยืนในอุตสาหกรรมที่อิ่มตัวแล้ว
2. ความยั่งยืน – กลยุทธ์การแข่งขันสร้างอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงได้อย่างยั่งยืน
อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงและมีเสถียรภาพ หรือที่กำลังปรับตัวดีขึ้นถือเป็นข้อพิสูจน์เชิงการเงินที่แสดงถึงความได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัท อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงบ่งชี้ว่าบริษัทมีอำนาจในการกำหนดราคา หรือมีประสิทธิภาพด้านต้นทุนที่เหนือกว่า ซึ่งเป็นสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถลอกเลียนแบบได้โดยง่าย ความได้เปรียบในการแข่งขันนี้จึงเป็นสิ่งจำเป็นในการป้องกันไม่ให้การแข่งขันเข้ามาบั่นทอนผลตอบแทนต่อเงินทุนที่อยู่ในระดับสูงที่เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการสร้างผลตอบแทนทบต้นในระยะยาว
3. คุณภาพ – คุณภาพของกำไรดี รายการที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักมีขนาดเล็กหรือไม่มีเลย
คุณภาพของกำไร ทำให้มั่นใจได้ว่ากำไรที่รายงานมานั้นสะท้อนถึงผลการดำเนินงานที่แท้จริงของธุรกิจ การพึ่งพากำไรที่ไม่ได้มาจากธุรกิจหลัก กำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หรือการใช้หลักการบัญชีเชิงรุก เช่น รายการที่ไม่ใช่เงินสด ถือเป็นรากฐานที่ไม่น่าเชื่อถือสำหรับการเพิ่มขึ้นของราคาในระยะยาว คุณภาพของกำไรสูงที่ติดตามกระแสเงินสดได้อย่างใกล้ชิด จะสามารถคาดการณ์ได้และมีความต่อเนื่องมากกว่า
4. ประสิทธิภาพ – ในระยะยาวยอดขายเติบโตเร็วกว่าสินทรัพย์
ข้อนี้จะบอกให้เราทราบถึงจำนวนรายได้ที่บริษัทสร้างขึ้นจากสินทรัพย์ที่มีอยู่ การสร้างรายได้จากสินทรัพย์ของบริษัทได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แสดงให้เห็นว่าฝ่ายบริหารมีความสามารถในการสร้างผลผลิตจากสินทรัพย์ได้ดีกว่า การเติบโตของสินทรัพย์อย่างระมัดระวังที่สอดคล้องกับการเติบโตของรายได้ จะช่วยรักษาสภาพเงินทุนของบริษัทไว้ได้ บริษัทที่ต้องใช้เงินจำนวนมากกับสินทรัพย์อย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อเพิ่มยอดขาย จะมีผลตอบแทนส่วนเพิ่มที่ต่ำกว่า และส่งผลให้อัตราการเติบโตทบต้นช้าลงตามไปด้วย
5. วงจรเงินสด – วงจรเงินสดหมุนเวียนค่อนข้างเร็ว โดยค่าติดลบถือว่าดีที่สุด
วงจรเงินสด (CCC) คือตัวบ่งชี้ว่าเงินสดของบริษัทถูกผูกไว้ในเงินทุนหมุนเวียนนานแค่ไหน วงจรเงินสดที่เร็วหรือติดลบหมายถึงบริษัทได้รับเงินสดจากลูกค้าก่อนที่จะต้องจ่ายเงินให้กับคู่ค้า แสดงให้เห็นว่าธุรกิจมีประสิทธิภาพสูง และเปรียบเสมือนได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยไม่มีต้นทุนจากคู่ค้า สิ่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งเงินทุนที่ปราศจากต้นทุนและสามารถนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการเติบโตของกิจการได้ในทันที
6. กระแสเงินสด – กระแสเงินสดจากการดำเนินงานเป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานที่เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอคือสายเลือดของธุรกิจที่มีสุขภาพดี เป็นการยืนยันว่ารูปแบบธุรกิจนั้นสามารถเลี้ยงตัวเองได้ และสร้างเงินสดที่แท้จริงจากการดำเนินงานหลัก กระแสเงินสดนี้เป็นแหล่งเงินทุนที่จำเป็นสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร การชำระหนี้ และการลงทุนซ้ำในโอกาสการเติบโตโดยไม่จำเป็นต้องมีการเจือจางหุ้นหรือก่อหนี้อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานยังถูกมองว่าเป็นตัวชี้วัดที่มีคุณภาพสูงกว่ากำไรสุทธิ เนื่องจากมีโอกาสน้อยที่จะถูกบิดเบือนโดยฝ่ายบริหารผ่านหลักการทางบัญชี ทำให้ผู้ลงทุนมีความมั่นใจในผลการดำเนินงานที่รายงานมากขึ้น
7. ศักยภาพทางเงินทุน – บริษัทมีช่องทางในการเข้าถึงเงินทุนเพื่อสนับสนุนการเติบโต
แม้ว่าการจัดหาเงินทุนด้วยตนเองผ่านกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด แต่บริษัทที่มีการเติบโตสูงทุกแห่ง โดยเฉพาะในระยะที่เป็นบริษัทขนาดเล็ก ย่อมต้องอาศัยเงินทุนเพื่อขยายขนาด ลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หรือเข้าซื้อกิจการ การเข้าถึงเงินทุนผ่านหนี้หรือการระดมทุนจะช่วยให้บริษัทไม่มีข้อจำกัดทางการเงินและสามารถแสวงหาโอกาสทางธุรกิจได้อย่างเต็มที่ โดยทั่วไปแล้ว บริษัทจดทะเบียนที่มีหนี้สินสุทธิต่ำหรือติดลบจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและมีต้นทุนที่ถูกกว่า
8. ราคาไม่แพง – มูลค่าเหมาะสม หลีกเลี่ยงหุ้นที่มีราคาแพงมากเกินไป
การซื้อหุ้นในราคาที่สมเหตุสมผลหรือราคาถูกเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะช่วยให้อัตราส่วนการประเมินมูลค่าสามารถขยายตัวได้เมื่อบริษัทแสดงให้เห็นถึงเรื่องราวการเติบโตของตน การเริ่มต้นด้วยอัตราส่วนที่สูงมากอาจสร้างแรงต้านทานที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่านักลงทุนจ่ายเงินสำหรับการเติบโตในอนาคต ดังนั้น หุ้นที่มีศักยภาพการเติบโตสูงอาจตามทันหรือแซงหน้าอัตราส่วนการประเมินมูลค่าได้ หากโอกาสในการเติบโตนั้นเกิดขึ้นจริง
การสร้างโมเดลเชิงปริมาณโดยใช้กรอบการทำงาน FVMR
รายการทั้งแปดข้อในรายการตรวจสอบการคัดเลือกหุ้นของ A. Stotz เป็นลักษณะ 8 ประการของหุ้นที่มูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ในฐานะนักลงทุน เราจำเป็นต้องระบุหุ้นเหล่านี้ให้ได้ก่อนที่มันจะเพิ่มมูลค่า เพื่อให้สามารถทำกำไรได้
จากรายการตรวจสอบการเลือกหุ้นของ A. Stotz เราได้ทำการทดสอบย้อนหลังเพื่อพัฒนาโมเดลเชิงปริมาณของเรา เราใช้กรอบการทำงาน FVMR ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของเราในการสร้างโมเดลเชิงปริมาณทั้งหมด โดย FVMR ย่อมาจาก Fundamentals (ปัจจัยพื้นฐาน) Valuation (มูลค่า) Momentum (โมเมนตัม) และ Risk (ความเสี่ยง) ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของผลตอบแทนจากการลงทุน
ขั้นแรก เราจำเป็นต้องทดสอบตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่สามารถเป็นตัวแทนของแต่ละปัจจัยได้ ตัวอย่างเช่น 2. ความยั่งยืน – กลยุทธ์การแข่งขันสร้างอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงได้อย่างยั่งยืน สามารถวัดได้หลายวิธี เช่น ระดับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทนั้นๆ เอง อัตรากำไรขั้นต้นเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น และความผันผวนของอัตรากำไรขั้นต้น เราจะเก็บเฉพาะตัวชี้วัดที่ในอดีตเป็นตัวทำนายผลตอบแทนในอนาคตที่ดีที่สุดไว้
เมื่อเราได้ระบุตัวชี้วัดที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละปัจจัยแล้ว เราก็จะทดสอบการรวมกันของปัจจัยเหล่านั้นจากการพัฒนาโมเดลเชิงปริมาณมานานกว่า 15 ปี เราได้เรียนรู้ว่า การมีปัจจัยจำนวนมากไม่ได้ดีกว่าเสมอไป ดังนั้น เราจึงทดสอบการรวมปัจจัยต่าง ๆ เพื่อกำหนดโมเดลสุดท้าย
เราได้ปรับปรุงโมเดลให้เหมาะสมที่สุดเพื่อให้ได้ผลตอบแทนล่วงหน้า และอัตราความสำเร็จที่สูงที่สุด คือความถี่ที่โมเดลเลือกหุ้นได้ถูกต้อง แต่แน่นอนว่า ไม่มีอะไรรับประกันได้ในโลกของการลงทุน
สิ่งที่โมเดลเชิงปริมาณบอกเรา ไม่มีการรับประกัน
โมเดลเชิงปริมาณบอกเราว่า มีหุ้นในกลุ่ม 50 อันดับแรกมีโอกาสสูงกว่าในการทำผลงานได้ดีกว่าตลาด ในรายงานของเรา เราจะแสดงให้คุณเห็นอันดับของบริษัทที่กำลังศึกษาภายในกลุ่ม 50 อันดับแรก
ในตัวอย่างด้านล่าง หุ้น FLOYD ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 32 จากในกลุ่ม 50 อันดับแรก นอกจากนี้ เรายังจัดอันดับบริษัทเป็นสิบกลุ่มจากดีที่สุด (B) ไปจนถึงแย่ที่สุด (W) สำหรับปัจจัยทั้งแปดในรายการตรวจสอบการเลือกหุ้นของ A. Stotz โดยอันดับหนึ่งถึงสิบนี้ เป็นไปตามการเปรียบเทียบกับหุ้นทั้งหมดในฐานข้อมูล โดยประมาณ 350 หุ้น
แม้ว่าหุ้นในกลุ่ม 50 อันดับแรกจะไม่ได้ทำผลงานได้ดีกว่าตลาดทั้งหมด แต่โมเดลเชิงปริมาณของเราบอกเราว่า หุ้นเหล่านี้มีโอกาสสูงกว่าที่จะทำผลงานได้ดีกว่าหุ้นอื่น ๆ ในฐานข้อมูล โดยทั่วไปแล้ว อันดับที่สูงกว่าหมายถึงโอกาสที่จะทำผลงานได้ดีกว่าที่สูงกว่า ดังนั้น การอยู่อันดับที่ 3 จึงดีกว่าอันดับที่ 30 แต่โปรดสังเกตคำว่า “โอกาส” โปรดจำไว้ว่าแม้แต่เหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้น 80% ก็ยังล้มเหลวไม่เกิดขึ้นได้ 20% ของเวลา
ฐานข้อมูลหุ้นไทยที่ไม่มีบทวิเคราะห์และการระบุหุ้นในกลุ่ม 50 อันดับแรก
ฐานข้อมูลของหุ้นที่ใช้ในการคัดเลือกนี้จะยกเว้นบริษัทในกลุ่ม ธุรกิจการเงิน และทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และประกอบด้วยเฉพาะหุ้นไทยที่ ขาดการวิเคราะห์อย่างเป็นทางการจากโบรกเกอร์หรือสำนักวิจัย คุณสมบัติเบื้องต้นของหุ้นในการวิเคราะห์: ต้องมี มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ไม่ต่ำกว่า 5,000 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐฯ (ประมาณ 160,000 บาท) ตามเกณฑ์เหล่านี้ โดยทั่วไปแล้วฐานข้อมูลจะมีหุ้นอยู่ประมาณ 350 ตัว
ในการจัดทำรายชื่อบริษัทที่ดีที่สุด 50 อันดับแรกเพื่อจัดทำรายงานทุกไตรมาสของหุ้นไทยที่ไม่มีบทวิเคราะห์ เราจะจัดอันดับหุ้นทั้งหมดในฐานข้อมูลตามโมเดลเชิงปริมาณ FVMR ของเรา จากนั้น เราจะทำการตรวจสอบคุณภาพ ผลลัพธ์ของโมเดลโดยการทบทวนงบการเงินของบริษัทต่าง ๆ
คุณสมบัติสำหรับการคัดเลือกเป็นหุ้นในกลุ่ม 50 อันดับแรก หุ้นต้องมี คะแนน IOD CG (บรรษัทธรรมาภิบาล) ของไทยอยู่ที่ 3+ ขึ้นไป ต้อง ไม่ถูกขึ้นเครื่องหมาย CB, CS, CC, CF, หรือ SP ต้อง ไม่ถูกผู้สอบบัญชีให้ความเห็นอย่างมีเงื่อนไข ต้อง ไม่อยู่ภายใต้การกล่าวหาอย่างเป็นทางการโดย ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)


